โพเอติกา ของ อริสโตเติ้ล
อริสโตเติ้ล(Aristotle)
เป็นนักปราชญ์ชาวกรีก(พ.ศ.๑๕๙-๒๒๑) เกิดที่ เมืองสตากิร่า เมื่อ พ.ศ.๑๕๙
เมื่ออายุได้ ๑๘ ปีก็เดินทางมาเมืองเอเธนส์เพื่อเป็นศิษย์ของเพลโตและอยู่ ๒๐
ปีจนเพลโตเสียชีวิตจึงเดินทางไปรับใช้พระราชาแห่งเฮอมิอาส ๓ ปี
จากนั้นก็ไปรับใช้พระเจ้าฟิลลิปส์แห่งมาเซโดเนียและเป็นอาจารย์ของพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราขอยู่
๘ ปี เมื่อพระเจ้าฟิลลิปส์สิ้นพระชนม์ อริสโตเติ้ลได้ตั้งโรงเรียนชื่อ
ไลเซียมที่เอเธนส์ นาน ๑๒ ปี อริสโตเติ้ลสิ้นชีวิตเมื่อ พ.ศ.๒๒๑
อริสโตเติ้ลเขียนตำราวิชาการเชิงปรัชญาไว้ในหลายสาขา ฟิสิกส์ เมตาฟิสิกส์ บทกวี
การละคร ตรรกวิทยา วาทวิทยา ภาษาศาสตร์ การเมือง การปกครอง จริยธรรม ชีววิทยา
และสัตววิทยา
อริสโตเติ้ลเป็นปราชญ์ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อปรัชญาตะวันตกตราบเท่าปัจจุบัน
โพเอติกา(Poetica)
เป็นนาฏยทฤษฎีที่อริสโตเติ้ลเขียนขึ้นโดยอาศัยบทละครอันเป็นผลงานของกวีกรีกในสมัยนั้น
แต่ผลการวิเคราะห์และสังเคราะห์ของอริสโตเติ้ลนั้นเกิดเป็นทฤษฎีที่นำมาใช้ได้กับการละครโดยทั่วไป
โพเอติกาฉบับย่อมีปรากฏอยู่ทั่วไปในยุคกลางและเผยแพร่มาจนกระทั่ง จอจิโอ วาลลา แปลเป็นภาษาละตินและตีพิมพ์ในเวนิสเมื่อ
พ.ศ.๒๐๔๑ ต่อมา อาลดิน ได้พิมพ์ฉบับภาษากรีกขึ้นเมือ่ พ.ศ.๒๐๕๑ จากนั้นมา
โพเอติกาก็แพร่หลายไปทั่วยุโรปและมีการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ
อีกทั้งนำไปใช้อย่างกว้างขวาง โพเอติกา
นับเป็นนาฏยทฤษฎีเก่าที่สุดและเป็นหลักวิชาการละครของโลกตะวันตกมาจนถึงปัจจุบัน
(European
Theories of the Drama. Barrett H. Clark. Cincinnati: Stewart &
Kidd Company, 1918.)
โพเอติกา
มีสาระพอสรุปได้ดังนี้
๑. Imitation การเลียนแบบ มนุษย์มีสัญชาติญาณของการลียนแบบ
และแสดงออกของการเลียนแบบด้วยการพูด การเขียน การทำท่าทาง
เมื่อจะแสดงตนเป็นตัวละครก็ต้องใช้ศิลปะแห่งหารเลียนแบบให้เหมาะสม ๑.๑ Medium คือ
สื่อในการแสดงผลของการเลียนแบบ ซึ่งมีสื่อหลายประเภท เช่น สื่อภาษา สื่อภาพ
สื่อเสียง ๑.๒ Objects
คือ ตัวต้นแบบที่ผู้แสดงเลือกมาใช้ในการเลียนแบบเพื่อสร้างตัวละครที่ตนจะสวมบทบาท
ดังนั้นตัวต้นแบบอาจมีหลายตัวที่ผู้แสดงเลือกแง่มุมของตัวต้นแบบที่ตนเห็นเหมาะมาผสมผสานกันเป็นตัวละคร ๑.๓ Manner คือ วิธีนำเสนอการเลียนแบบซึ่งมีหลายวิธี
เช่น การเล่าเรื่อง การขับร้อง การแสดงละคร
๒. Poetry คือ
กวีนิพนธ์ที่มนุษย์พัฒนาจากการเลียนแบบให้เป็นระบบที่สื่อความหมายได้ชัดเจนงดงามเกิดจินตนาการและอารมณ์คล้อยตาม ๒.๑ Comedy คือ
กวีนิพนธ์ที่มุ่งเลียนแบบเพื่อให้เกิดความสนุกสนาน
โดยใช้ตัวต้นแบบเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อย มีกิริยาที่หยาบ มีความคิดที่โง่เขลา
เป็นกวีนิพนธ์ที่ใช้การแสดงเป็นละคร
มีการลงไม้ลงมือในการแสดงออกแต่ต้องไม่จริงจังเพราะคนดูจะรู้สึกเจ็บปวดไปกับตัวละครผู้โดนกระทำแล้วจะไม่ขบขัน
ภาษาไทยเรียกว่า สุขนาฏกรม ๒.๒
Epic คือ
กวีนิพนธ์ที่ใช้การเล่าเรื่องด้วยบทพรรณนาร้อยกรองขนาดยาว ใช้ฉันทลักษณ์ชนิดเดียว
ตัวละครเอกเป็นมนุษย์ผู้สูงส่งมีภารกิจที่ยิ่งใหญ่ ไม่จำกัดเวลาในท้องเรื่อง
ภาษาไทยเรียกว่า มหากาพย์ ซึ่งมีความหมายต่างไปจาก รูปแบบหนึ่งของกวีนิพนธ์สันสกฤต ๒.๓ Tragedy คือ กวีนิพนธ์ที่มุ่งเลียนแบบเพื่อให้เกิดความโศกเศร้าสะเทือนใจ
เป็นกวีนิพนธ์ใช้การแสดงละครที่จริงจัง
ต้องจบการแสดงให้เห็นผลกรรมของตัวละครเอกอย่างสมบูรณ์
ต้อวงทำให้คนดูเกิดความเห็นใจในชะตากรรมของตัวละครและเกิดความหวั่นใจว่าผลกรรมเช่นนั้นแจเกิดกับตนได้
ภาษไทยเรียกว่า โศกนาฏกรรม
๓. Elements
of Tragedy ปัจจัยของโศกนาฏกรรม๓.๑ Plot โครงเรื่อง คือ การลำดับความคิดและเหตุการณ์สำคัญในการดำเนินเรื่อง
๓.๑.๑ Unity of Plot เอกภาพของโครงเรื่อง
๓.๑.๒ Law of Probability or
Necessity การดำเนินเรื่องต้องมีความเป็นไปได้จริงสมเหตุสมผลไม่บิดเบือน
๓.๑.๓ Simple and Complex Plot การดำเนินเรื่องมีสองแบบคือ แบบตรงกับแบบซ่อนเงื่อนหรือการแสดงความยอกย้อนของชะตากรรมของตัวละคร
๓.๑.๔ Peripeteia เปอริเปอติเอ้ เป็นการพลิกชะตากรรมของของตัวละครไปในทางตรงข้ามอย่างกระทันหัน เช่นการสรรเสริญกลับเป็นผลร้ายแก่ผู้ได้รับการสรรญเสริญ
๓.๑.๕ Recognition เป็นสัญญะบางอย่างซึ่งทำให้ชะตากรรมของตัวละครเปลี่ยนไปในทางตรงข้าม เช่น ปาน แผลเป็น สร้อยที่ได้รับมาแต่เยาว์ ข้อมูลที่ค้นพบใหม่
๓.๑.๖ Complication and Unraveling เป็นการสร้างเรื่องที่ต้องชวนติดตาม มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน และมีการค่อย ๆ เปิดเผยความลับทีละน้อย
๓.๑.๗ Plot Structure ลำดับขั้นของโครงเรื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบการแสดง แบ่งเป็น ๕ ส่วน คือ เริ่มเรื่องและปูพื้นเรื่อง (Exposition), เกิดความขัดแย้งและดำเนินเรื่องเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ(Rising Action), เหตการณ์ที่ทำให้วิถีชีวิตของตัวละครเริ่มเปลี่ยนไป(Turning Point), เหตุการณ์ที่ดำเนินต่อมาและทำให้ความลับคลี่คลาย(Falling Action), จุดแตกหักระหว่างสองฝ่ายและความลับถูกเปิดเผย(Climax), การสรุปเรื่องให้จบลงอย่างสมบูรณ์(Conclusion)
๓.๑.๘ Pity and Fear คือ ความเห็นใจและความหวั่นใจ ซึ่งเหตุการณืที่ทำให้เกิดความรู้สึกดังกล่าว มี ๔ ลักษณะ คือ ๑.การกระทำนั้นตัวละครรู้ตัวและจำเป็นต้องทำโดยไม่มีทางเลือก ๒.การกระทำนั้นเกิดจากความไม่รู้และมาพบความจริงในภายหลัง ๓.ต้องลงมือกระทำแต่ทำไม่ได้เพราะรู้ว่าผู้ที่ตนจะลงมือกระทำเป็นใคร ๔.เกือบลงมือกระทำเพราะไม่รู้ แต่พบความจริงก่อนลงมือกระทำ
๓.๑.๓ Simple and Complex Plot การดำเนินเรื่องมีสองแบบคือ แบบตรงกับแบบซ่อนเงื่อนหรือการแสดงความยอกย้อนของชะตากรรมของตัวละคร
๓.๑.๔ Peripeteia เปอริเปอติเอ้ เป็นการพลิกชะตากรรมของของตัวละครไปในทางตรงข้ามอย่างกระทันหัน เช่นการสรรเสริญกลับเป็นผลร้ายแก่ผู้ได้รับการสรรญเสริญ
๓.๑.๕ Recognition เป็นสัญญะบางอย่างซึ่งทำให้ชะตากรรมของตัวละครเปลี่ยนไปในทางตรงข้าม เช่น ปาน แผลเป็น สร้อยที่ได้รับมาแต่เยาว์ ข้อมูลที่ค้นพบใหม่
๓.๑.๖ Complication and Unraveling เป็นการสร้างเรื่องที่ต้องชวนติดตาม มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน และมีการค่อย ๆ เปิดเผยความลับทีละน้อย
๓.๑.๗ Plot Structure ลำดับขั้นของโครงเรื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบการแสดง แบ่งเป็น ๕ ส่วน คือ เริ่มเรื่องและปูพื้นเรื่อง (Exposition), เกิดความขัดแย้งและดำเนินเรื่องเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับ(Rising Action), เหตการณ์ที่ทำให้วิถีชีวิตของตัวละครเริ่มเปลี่ยนไป(Turning Point), เหตุการณ์ที่ดำเนินต่อมาและทำให้ความลับคลี่คลาย(Falling Action), จุดแตกหักระหว่างสองฝ่ายและความลับถูกเปิดเผย(Climax), การสรุปเรื่องให้จบลงอย่างสมบูรณ์(Conclusion)
๓.๑.๘ Pity and Fear คือ ความเห็นใจและความหวั่นใจ ซึ่งเหตุการณืที่ทำให้เกิดความรู้สึกดังกล่าว มี ๔ ลักษณะ คือ ๑.การกระทำนั้นตัวละครรู้ตัวและจำเป็นต้องทำโดยไม่มีทางเลือก ๒.การกระทำนั้นเกิดจากความไม่รู้และมาพบความจริงในภายหลัง ๓.ต้องลงมือกระทำแต่ทำไม่ได้เพราะรู้ว่าผู้ที่ตนจะลงมือกระทำเป็นใคร ๔.เกือบลงมือกระทำเพราะไม่รู้ แต่พบความจริงก่อนลงมือกระทำ
๓.๒ Character
คือ กวีต้องสร้างตัวละครที่มีรูปร่าง นิสัย ความคิด
และพฤติกรรมอย่างสมเหตุผล เป็นความจริง ไม่มีปาฏิหาริย์
ตัวละครในโศกนาฏกรรมต้องเป็นมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีอุดมการณ์ มีคงามมุ่งมั่น
มีความกล้าหาญ เสมอต้นเสมอปลาย
๓.๓ Thought
คือ กวีต้องแสดงความคิดของเรื่องให้สื่อได้ด้วยคำพูดและท่าทางของตัวละครทั้งทางตรงและทางอ้อม
๓.๔ Diction
คือ
กวีต้องสร้างคำพูดของตัวละครที่แสดงความคิดและอารมณ์ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
ทั้งการพูดตรง ๆ พูดโดยอ้อม พูดแบบเปรียบเปรย
๓.๕ Song
คือ การพูดอย่างมีลีลา การขับลำนำ การขับร้อง และการบรรเลงดนตรี
มีบทบาทสำคัญในการให้รสชาติแก่การแสดง จึงต้องใช้ฉันทลักษณ์อย่างเหมาะสมกับบุคคล
กาละ เทศะ
๓.๖ Spectacle
คือ ความตระการตา ได้แก่ฉาก เครื่องต่งกาย อุปกรณ์การแสดง
ที่ทำให้การแสดงมีความงดงามตระการตาแลดูสมจริงมากยิ่งขึ้น
๔. Purgation of Emotion
เป็นคุณสมบัติของโศกนาฏกรรมเมื่อจบการแสดงแล้วต้องทำให้คนดูเกิดความรู้ความเข้าใจและความรู้สึกโล่งใจว่าตนได้ผ่านพ้นวิกฤติที่จำลองให้เห็นบนเวทีนั้นมาได้
ขอบคุณค่ะ
ตอบลบ