วัฒนธรรมและการสื่อสารร่วมสมัยกับผู้สูงวัย
โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์
คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
การประชุมวิชาการแห่งชาติด้านผู้สูงวัย ครั้งที่ 2
9-12 กุมภาพันธ์
2553 อาคาร อปร.
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
วัฒนธรรม การสื่อสาร
กับผู้สูงวัยเป็น 3 องค์ประกอบที่น่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างดี
มีเอกภาพและราบรื่นเพราะผู้สูงวัยมีทักษะการสื่อสารมานานหลายสิบปี ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้ แต่ละคนก็มีการสะสมประสบการณ์ตามบุพกรรมไว้เป็นบุคลิกลักษณะนิสัย ซึ่งเรียกได้ว่าวัฒนธรรมประจำตัวกันถ้วนทั่วทุกคน ดังนั้น
คนในวัยเดียวกันอาจกล่าวได้ว่าต่างมีประสบการณ์ชีวิตใกล้เคียงกัน ถูกเลี้ยงดูมาแต่เยาว์วัย ได้สัมผัสไม้เรียวเหมือนกัน เคารพนบนอบเชื่อฟังผู้ใหญ่ แต่งกายสุภาพ
ไม่ใช้วาจาหยาบคาย กินอยู่พูวายให้ดูเป็นผู้ดี
มีความเกรงใจผู้คน ไม่ลุกลี้ลุกลน วิชาที่ร่ำเรียนทั้งสูตรคูณ ภาษา อาขยาน
นิทาน วรรณคดี การฝีมือ
ล้วนเรียนมาเล่มเดียวกัน
จะพูดจะจาจะอุปมาอุปมัยอะไรก็เข้าใจตรงกัน
กีฬาการละเล่นและบรรดาของเล่นก็ต้องหาเอง
ทำเอง ลูกหิน ลูกข่าง
รถลาก รถเข็น ล้วนสำเร็จด้วยฝีมือของตนเอง
ถ้าเป็นอะไรที่ยากขึ้นไปก็มีปู่ย่าตายายทำเป็นต้นแบบให้เช่น ว่าว การละเล่น
กระโดดเชือก ตี่จับ ทอยกอง
ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้สูงวัยในขณะนี้ผ่านมาแล้ว
และยิ้มอย่างเป็นสุขเมื่อหวนระลึกถึง
เมื่อเป็นวัยรุ่นร้อนแรงก็พากันออกไปดูหนังกลางแปลง แย่งนางรำวง
หรือหลงใหลกับเพลงสมยศ พยง มุกดา
หรือสุนทราภรณ์
ที่ออกอากาศทางสถานีวิทยุ 1 ปณ.
แล้วต่อมาก็จดจ่อ รอชะเง้อดูโทรทัศน์ขาวดำ
ที่เพิ่งนำเข้ามาใหม่ ๆ หมาด ๆ
ราคาแพงแสนแพงต้องง้อขอเขาดูด้วยความตื่นเต้น
พวกที่เติบใหญ่ในกรุงเทพนั้นมีประสบการณ์ต่างไปจากเด็กต่างจังหวัด ทั้งภาษา
กิริยา อาหาร การแต่งกาย การใช้พาหนะเดินทาง ทั้งรถราง
รถเมล์สองแถว สีขาวนายเลิศ รถเมล์พีระสีฟ้า เดินทางไปโรงเรียน รวยหน่อยก็ไปกินบะหมี่เยาวราช ไอสครีมไข่แข็งสามยอด
แล้วต่อมาเป็นหนุ่มก็ยกพวกไปออกันอยู่หน้าโรงหนังแกรนด์ คิงส์ ควีนส์
วังบูรพา แต่งตัว
ทำท่ายียวนกวนประสาท คาดชื่อลือชาว่า โก๋หลังวัง
คนยุคนี้เคยเห็นกรุงเทพที่ร่มเย็น มีประชากรไม่ถึงล้านคน มีถนนไม่กี่สาย แต่ละสายมีต้นไม้ครึ้ม คลุมร่มรื่น ขนาบด้วยคลองสองข้าง มีรถราไม่ขวักไขว่ ไม่มีแอร์คอนดิชั่น ไม่มีตึกสูง ไม่มีห้างสรรพสินค้าขนาดยักษ์ ห้างเซ็นทรัลหลังแรกที่เจริญกรุงเป็นเพียงห้องแถวไม่กี่คูหา
ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นมีแค่ร้านเดียวตรงสี่พระยา ก๊อกประปาสาธารณะให้คนอาบกินมีอยู่ทั่วไป
แล้วเขาเหล่านี้ก็เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของกรุงเทพ
การขยายถนน การสร้างน้ำพุมหึมาทุก ๆ สี่แยก คูคลองต้นไม้หายไปสิ้น ติดตามมาด้วยสงครามเวียดนาม 13 ปี ที่ทำให้กรุงเทพเป็นแดนสวรรค์ของพวก
GI
ผู้คนต่างจังหวัดหลั่งไหลเข้ามาทำงานในกรุงเทพ จนเกิดสลัม
เกิดสถานบันเทิง บนถนนเพชรบุรีตัดใหม่ยาว 13 กิโลเมตร คราคร่ำด้วยกามธุรกิจ น้ำประปาขาดแคลนมากจนถึงการผจญภัยกับการขุดวางท่อประปาของบริษัทเดอเกรอมองค์ทั้งกรุงเทพ
จนเกรุงเทพเป็นอัมพาตทั้งเมือง
แต่ทุกคนก็อดทนเพราะขยาดที่จะต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตี 2
มารองน้ำประปาให้พอใช้ไปแต่ละวัน
เมื่อชีวิตประจำวันมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากขึ้น เพราะเทคโนโลยีทันสมัยนั้นมีการพัฒนารูปแบบ และการใช้สอยไปอย่างรวดเร็ว ประชากรจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
เช่นกัน ชีวิตประจำวันก็เร่งรีบ เบียดเสียด
เยียดยัด แออัดร้อนระอุจนแทบไม่มีที่หายใจ
ไม่มีใครหลีกทางให้ใคร
กระทบไหล่
ชนกันก็ไม่มีเวลาหรือสำนึกจะขอโทษ
ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ลุกให้นั่ง ไม่หลีกทางให้เดิน พระเณรไปมาลำบาก บิณฑบาตก็ยากลำเค็ญ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ากังวล แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะปรับตัว
สิ่งที่ทำให้คนปูนนี้เกิดมีช่องว่างกับปรากฏการณ์ใหม่
ๆ คือ
การสื่อสารที่ทำให้วัฒนธรรมอันเป็นวิถีชีวิตประจำวันผันแปรไป อย่างยากที่จะติดตามและสร้างความคุ้นเคยได้ทัน การสื่อสารในช่วงสัก 30
ปีมานี้เปลี่ยนไปมาก
การเปลี่ยนแปลงนี้เห็นได้ชัดว่ามาจากเทคโนโลยีการสื่อสารซึ่งพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในที่นี้จะมุ่งไปที่สื่ออีเล็กโทรนิกส์สมัยใหม่
3 ชนิดคือ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์
และโทรศัพท์ ทั้ง 3 สื่อนี้เป็นตัวการของวัฒนธรรมใหม่ที่ทำให้คนเก่า ๆ ปรับตัวไม่ทันและถอยกลับไปอยู่ในโลกเก่าๆ
ของตน
คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และโทรศัพท์ ทำให้เกิดการสื่อสารที่รวดเร็ว เรียลไทม์
ดังนั้น การคิด การเขียน
การพูด การถาม การตอบ
จึงเกิดขึ้นสั้น ๆ ทันที
ไม่มีเวลาคิดนาน ไม่มีเวลากลั่นกรอง
ยิ่งเป็นการสื่อสารเพื่อความสำเร็จในธุรกิจ ยิ่งต้องล้ำหน้าอยู่เสมอ ไม่มีความเกรงใจ ไม่มีความปราณีให้ใคร ใครดีใครได้
ความรู้ถูกบรรจุไว้ในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ อยากรู้อะไรก็เปิดดู เปิดค้น เปิดคว้า เปิดถามก็ได้คำตอบ
บทบาทครูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อก่อนครูเป็นศูนย์กลาง เป็นผู้รู้
เป็นผู้สั่งและสอนให้แก่ศิษย์จำนวนมาก แต่บัดนี้ผู้เรียนมีครูนับไม่ถ้วนคอยอยู่ในคอมพิวเตอร์ให้ศิษย์เข้า
ไปถาม
นอกจากนี้ความเป็นเพื่อนก็เปลี่ยนไปจากเพื่อนบ้าน เพื่อนหอ
เพื่อนห้อง เป็นเพื่อนเน็ต (Internet)ในคอมพิวเตอร์ที่มีความสนใจเหมือนกัน
แช็ตกัน (Chat ) แชร์ความรู้ความคิดและอารมณ์ร่วมกัน
สารพัดโรคร้าย หลายปัญหาชีวิต ทำให้คนในกลุ่มช่วยกันแชร์และชวยกันเผชิญ การไปเที่ยว
การไปพบสิ่งงดงามในชีวิตก็นำมาเล่าเป็นประสบการณ์ดี ๆ ที่สื่อถึงกัน มีภาพสวย
ๆ แบ่งกันดู การสื่อสารเช่นนี้คนรุ่นเก่าไม่สันทัดเอาเสียเลย
การสื่อสารสมัยใหม่นี้มีผลทางลบเกิดขึ้นแก่การสื่อสารในครอบครัว และการสื่อสารระหว่างวัยเป็นอย่างมาก คนในบ้านมีโทรทัศน์คนละเครื่อง
คอมพิวเตอร์ก็คนละเครื่อง โทรศัพท์หลากหลายออปชั่น
(Option) คนละหลาย ๆ เครื่อง คนในบ้านเดียวกัน นั่งอยู่ในรถคันเดียวกัน แต่คุยโทรศัพท์กับคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรถ ไม่คุยกันเอง ไม่แชร์เรื่องราวประจำวันให้แก่กัน
คนรุ่นเก่าใช้สมุดออแกนไนเซอร์ จดนัดหมาย
คนรุ่นใหม่ใช้เมม (Mem-Memory)ในเมือถือ คนรุ่นเก่าอ่านหนังสือเป็นเล่ม คนรุ่นใหม่อ่านอีบุ๊ค (E-Book)
สถาปนิกรุ่นเก่าใช้กระดาษดินสอ
ไม้เสท ไม้ที คนรุ่นใหม่เขียนแบบด้วยคอมและเร็วกว่า 100 เท่า เวลาคนรุ่นใหม่ไปพรีเซ้นต์
(Present) งานต่อหน้าลูกค้าก็ใช้คอมพิวเตอร์ที่สามารถเปลี่ยนดีไซน์
3 มิติได้ในทันที แต่คนรุ่นเก่าตกยุคตกงาน
ทางเลือกของสื่อเทคโนโลยีที่ทันสมัยไร้พรมแดน ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่เห็นความสำคัญของคนรุ่นเก่า
ไม่จำเป็นต้องเรียนประสบการณ์จากคนรุ่นเก่า
เขาหาเองได้
เลือกเสพสิ่งที่เขาชอบตรงกับรสนิยมของเขาโดยเฉพาะได้ เขาต้องคิดเร็ว พูดเร็ว เขียนเร็วด้วยภาษาสัน ๆ
ด้วยศัพท์เทคนิคใหม่ ๆ ที่คนรุ่นเก่าไม่เข้าใจ
การใคร่สร้างเวอจัวล์เรียลลิตี้ Virtual
Reality หรือสร้างโลก สร้างเรื่องจากความคิดของตนให้เป็นจริงของคน
รุ่นใหม่ เป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่าวิ่งไปไม่ทัน
เพราะคนรุ่นเก่าไม่เข้าใจและไม่นึกว่าอำนาจการสื่อสารสมัยใหม่จะทำให้วัฒนธรรม หรือวิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ห่างไกลจากพวกเขาจนตามไม่ทัน และแม้จะอยากตาม ก็ไม่รู้ว่าจะตามไปอย่างไร
แล้วคนรุ่นเก่าจะทำให้ช่องว่างแห่งวิถีชีวิตที่เกิดจากการสื่อสารสมัยใหม่แคบลงได้หรือไม่
คำตอบคือ น่าจะได้พยายาม
เริ่มด้วยการที่คนรุ่นเก่า ลองใช้สื่อทันสมัยให้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตประจำวัน เช่น การพิมพ์ดีด การส่งอีเมล์
การส่ง SMS การ Chat
เลยไปถึงการใช้ face book twitter
3G และสื่อใหม่อื่น ๆ ที่จะตามาในไม่ช้า ถามว่ายากไหม
ตอบว่ายาก แต่ไม่เกินความพยายาม
การที่ผู้สูงอายุเพียงสามารถใช้คอมพิวเตอร์ ส่งอีเมล์ได้
เป็นการเปิดตัวเองสู่โลกใหม่ที่กว้างใหญ่ไพศาล ได้พบเพื่อนใหม่ ๆ ที่มีรสนิยม มีประสบการณ์ใกล้เคียงกัน ได้เรียนสุขภาวะ สารทุกข์สุกดิบของกันและกัน ด้วยภาษาเดียวกัน ได้เข้าไปแช็ต กับคนรุ่นใหม่ ได้เข้าไปถ่ายทอดความรู้ความคิดทางการบ้าน การเมือง
การเศรษฐกิจ
และอดีตอันรุ่งเรืองให้คนรุ่นใหม่ได้สำนึก
สำเหนียก เพรียกหา
อีกทั้งได้เรียนรู้ว่าโลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว มีอะไรเกิดขึ้นที่ใดในโลก ความรู้ที่ตัวคิดว่าใช่
และยึดไว้ไม่ถ่ายถอนอาจคลอนแคลนเพราะได้รู้อะไรใหม่ ๆ
ที่เพิ่งค้นพบได้ในปัจจุบัน เกิดความสนุกสนาน มีชีวิตที่สดชื่น มีภาษาทันสมัย
มีใจที่เบิกบาน
มีพลังงานที่จะบุกเบิกใปข้างหน้า
ไม่
คอยแต่นับเวลาสิ้นอายุไขด้วยดวงตาดวงใจที่เหม่อลอย การใช้สื่อสมัยใหม่
ทำให้ผู้สูงวัยมีคุณค่าเพิ่ม Value Added กับชีวิต ไม่สถิตย์เสถียรกับอดีต แต่กลับนำอดีตให้มามีชีวิตจิตใจ เชื่อมต่อกันเป็นโยงใยกับปัจจุบันสู่อนาคต
คนสูงวัยควรภูมิใจว่า คนรุ่นใหม่รวดเร็ว
แต่ขณะเดียวกันก็มีความเปราะบางเพราะอ่อนวัย
ไม่มั่นคง หนักแน่น ทนฟ้าทนฝนอย่างคนรุ่นเก่า เพราะเขายังไม่ได้ผ่านด่านวิกฤตของชีวิตที่คนรุ่นเก่าผ่านมา คนรุ่นเก่าควรสร้างประสิทธิภาพในการสื่อสารร่วมสมัยถ่ายทอดประสบการณ์
จำลองไปให้คนรุ่นใหม่ใช้เป็นอุทาหรณ์ของชีวิตเขา
จะได้ไม่เศร้า ไม่เหงา ไม่พลาด
ไม่ขลาดเขลา เหมือนคนรุ่นเก่าที่ผจญมา ในทางตรงข้ามคนรุ่นเก่า ก็จะแปรเปลี่ยนวัฒนธรรมอันเกิดจากประสบการณ์อันยาวนานของตนให้เป็นวิถีชีวิตร่วมสมัย สื่อโสตกับคนรุ่นใหม่ได้ไม่แปลกแยก เกิดความภาคภูมิใจว่าตนสามารถเดินผ่าน
Time Machine จากอดีตมาสู่ปัจจุบันได้อย่างมีคุณค่า สง่างาม
และร่วมสมัย ไม่เชื่อถาม Google
------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น